สคส. ย้ำ พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล-ผู้เสียชีวิต ฝ่าฝืนเจอโทษหนักถึงจำคุก 5 ปี

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ออกแถลงการณ์ย้ำถึงการมีผลบังคับใช้ของ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “พ.ร.ก.ไซเบอร์” ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2568 เป็นต้นมา

เน้นคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ถึงแก่กรรม

หนึ่งในประเด็นสำคัญของ พ.ร.ก.ฉบับนี้อยู่ใน มาตรา 11/2 ที่มุ่งเน้นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งในรูปแบบข้อมูลโดยตรงและข้อมูลโดยอ้อม รวมถึงข้อมูลของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว หากมีการใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อกระทำผิดทางอาญาหรืออาชญากรรมทางเทคโนโลยี จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

  • หากใช้ข้อมูลโดยมิชอบ: จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • หากมีการซื้อขายข้อมูลโดยเจตนา: จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มุ่งป้องกันภัยไซเบอร์จากต้นทาง

พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. เปิดเผยว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มักใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการหลอกลวงประชาชน

“กฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงแต่เน้นการลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อปิดโอกาสให้มิจฉาชีพใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้” — พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าว

เสริมความแข็งแกร่งกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่นี้ทำงานควบคู่กับ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) โดยเน้นให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองสูงสุดจากการละเมิดสิทธิข้อมูล ไม่ว่าจะในรูปแบบการเผยแพร่ การซื้อขาย หรือการใช้เพื่อวัตถุประสงค์อันไม่ชอบ

แนะประชาชนอย่าละเลยข้อมูลส่วนตัว

สคส. ฝากถึงประชาชนให้ ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคล และไม่ควรเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น บัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ หรือเลขบัญชี ให้กับบุคคลหรือองค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ

หากสงสัยว่าข้อมูลของตนอาจถูกละเมิด ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที โดย สคส. ได้เปิด ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูล (PDPC Eagle Eye) และร่วมมือกับ ตำรวจไซเบอร์ (Cyber Eye) ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างทันท่วงที

ช่องทางติดต่อ

หากพบเห็นหรือสงสัยว่าเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถแจ้งได้ที่
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)
โทร. 02-111-8800

Call of Duty: Black Ops 6 – ภาคต่อที่ระอุที่สุดของสงครามสายลับ

Call of Duty: Black Ops 6 คือภาคล่าสุดของแฟรนไชส์เกมยิงระดับตำนานอย่าง Call of Duty ที่แฟน ๆ ทั่วโลกรอคอย โดยในภาคนี้เน้นเรื่องราวสายลับ ความลับดำมืดของรัฐบาล และสงครามจิตวิทยาที่เข้มข้นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ซึ่งถูกออกแบบมาให้เข้ากับยุคสมัยใหม่และแพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่อย่างแท้จริง


🎮 จุดเด่นของ Black Ops 6

1. เนื้อเรื่องสายลับเข้มข้น

ภาคนี้เล่าเรื่องราวในช่วงหลังสงครามเย็น ที่ตัวเอกต้องเผชิญกับภารกิจลับสุดอันตราย การทรยศหักหลัง และเกมจารกรรมระดับโลก ที่ทำให้ผู้เล่นต้องตั้งคำถามกับ “ความจริง” ที่อยู่ตรงหน้า

2. ระบบการเคลื่อนไหว 360°

ระบบใหม่ที่ทาง Activision เปิดตัวคือ Omnidirectional Movement ซึ่งให้ผู้เล่นสามารถหมุนตัว กลิ้ง ปีน และเล็งยิงได้จากทุกทิศทางอย่างอิสระ เสริมประสบการณ์การเล่นให้สมจริงและลื่นไหลมากยิ่งขึ้น

3. โหมด Multiplayer และ Zombies กลับมาอีกครั้ง

  • โหมด Multiplayer มาพร้อมแผนที่ใหม่ อาวุธใหม่ และระบบการปรับแต่งที่ละเอียดกว่าทุกภาค
  • โหมด Zombies จะกลับมาในรูปแบบคลาสสิก แต่ปรับปรุงให้เล่นได้ทั้งแบบทีมและเดี่ยว พร้อมระบบอัปเกรดแบบ RPG

🔫 แพลตฟอร์มและวันวางจำหน่าย

  • วันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ: ตุลาคม 2024
  • รองรับบนแพลตฟอร์ม:
    • PlayStation 5
    • Xbox Series X|S
    • PC (ผ่าน Battle.net และ Steam)

ข่าวดีคือ เกมนี้จะเปิดให้เล่นในวันแรกผ่านบริการ Xbox Game Pass อีกด้วย


🔥 ความคาดหวังจากแฟนเกม

  • แฟน ๆ ต่างคาดหวังว่า Black Ops 6 จะนำความคลาสสิกของภาคก่อน ๆ มาผสมผสานกับนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้เกมนี้กลายเป็นภาคที่ดีที่สุดของซีรีส์
  • หลายคนชื่นชอบการเล่าเรื่องในมุมมืดของโลกการเมือง และภาคนี้มีแนวโน้มว่าจะพาเราเข้าสู่ประเด็นเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง

สรุป

Call of Duty: Black Ops 6 ไม่ได้เป็นแค่เกมยิงธรรมดา แต่คือการพาเราเข้าสู่โลกของสายลับ สงครามเงียบ และเบื้องหลังของเกมการเมืองระดับโลก พร้อมระบบการเล่นที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ใครที่ชื่นชอบเกมแนว FPS ที่มีทั้งแอ็กชัน มุมมองเชิงกลยุทธ์ และเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม นี่คือเกมที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งในปีนี้

รถยนต์ไฟฟ้า งบไม่เกิน 1 ล้านบาท ปี 2025 – มีรุ่นไหนน่าซื้อบ้าง?

ยุคนี้การเปลี่ยนจากรถน้ำมันสู่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นเทรนด์ที่มาแรง ด้วยข้อดีทั้งเรื่องความประหยัด ค่าบำรุงรักษาต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลายคนอาจคิดว่ารถไฟฟ้าราคาสูง แต่ในความเป็นจริง ปี 2025 นี้ มีตัวเลือกดี ๆ ในงบไม่เกิน 1 ล้านบาทมากมายที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานในเมืองและเดินทางระยะไกลได้อย่างสบาย

มาดูกันว่า รถ EV ราคาไม่เกิน 1 ล้าน มีรุ่นไหนที่น่าสนใจบ้าง


🔋 รถยนต์ไฟฟ้าที่คุ้มค่างบไม่เกินล้าน

1. BYD Dolphin

  • ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 700,000 บาท
  • ระยะทาง: ขับได้ไกลถึง 427 กม. ต่อการชาร์จ
  • จุดเด่น: ขนาดกะทัดรัด ดีไซน์ทันสมัย ขับในเมืองคล่องตัว พร้อมระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ

2. MG4 Electric

  • ราคาเริ่มต้น: ราว 869,000 บาท
  • ระยะทาง: สูงสุด 425 กม.
  • จุดเด่น: ตัวรถสปอร์ต เร้าใจในการขับขี่ ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) หายากในรถระดับราคาเดียวกัน

3. ORA Good Cat

  • ราคาเริ่มต้น: ราว 763,000 บาท
  • ระยะทาง: 480 กม. ต่อการชาร์จ
  • จุดเด่น: โดดเด่นเรื่องดีไซน์น่ารักสไตล์เรโทร ฟีเจอร์จัดเต็มทั้งกล้อง 360° และระบบช่วยจอด

4. NETA V-II

  • ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 549,000 บาท
  • ระยะทาง: 382 กม.
  • จุดเด่น: เป็นรถไฟฟ้าราคาย่อมเยา เหมาะกับมือใหม่ที่อยากลองใช้ EV เป็นคันแรก

5. BYD Atto 3

  • ราคาเริ่มต้น: ราว 899,900 บาท
  • ระยะทาง: วิ่งได้ไกลถึง 420 กม.
  • จุดเด่น: SUV พลังไฟฟ้าขนาดกำลังดี ภายในกว้าง ฟังก์ชันครบเหมาะกับครอบครัว

6. Geely EX5

  • ราคาเริ่มต้น: ราว 899,000 บาท
  • ระยะทาง: สูงสุด 495 กม.
  • จุดเด่น: พื้นที่โดยสารกว้างขวาง พร้อมพละกำลังเครื่องยนต์ไฟฟ้าแรงแบบไม่ต้องรอรอบ

7. Aion Y Plus

  • ราคาเริ่มต้น: ประมาณ 769,900 บาท
  • ระยะทาง: 490 กม.
  • จุดเด่น: ดีไซน์เน้นความล้ำสมัย เหมาะกับคนเมืองยุคใหม่ ชาร์จครั้งเดียวใช้งานได้ทั้งวัน

8. MG ZS EV

  • ราคาเริ่มต้น: ราว 949,000 บาท
  • ระยะทาง: 403 กม.
  • จุดเด่น: ขับขี่นุ่มนวล เหมาะกับทั้งครอบครัวและใช้งานแบบอเนกประสงค์ ฟีเจอร์ความปลอดภัยครบ

🚗 สรุป – EV ราคาไม่แรง แต่คุณภาพจัดเต็ม

ถ้าคุณมีงบไม่เกิน 1 ล้านบาท และกำลังมองหารถไฟฟ้าไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะขับในเมืองหรือต่างจังหวัด ก็มีทางเลือกให้เลือกเพียบ ไม่ต้องจ่ายแพงก็ได้รถดี ฟีเจอร์ครบ ประหยัดค่าน้ำมัน และพร้อมขับสู่อนาคตที่ไร้มลพิษ

เครื่องชงกาแฟไม่ใช้น้ำ Kara Pod: นวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนอากาศให้กลายเป็นกาแฟ

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็ว การดื่มกาแฟก็ไม่เว้น! ล่าสุดมีนวัตกรรมที่สร้างความฮือฮาอย่างมากในวงการเครื่องดื่ม นั่นคือ Kara Pod – เครื่องชงกาแฟที่ไม่ต้องใช้น้ำเลยแม้แต่หยดเดียว เพราะมันสามารถสกัดน้ำจาก “อากาศ” เพื่อชงกาแฟได้ทันที

นี่ไม่ใช่แค่ก้าวใหม่ของเทคโนโลยีการชงกาแฟ แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดเรื่องความยั่งยืน การประหยัดทรัพยากร และการใช้เทคโนโลยีเพื่อชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น


☕ Kara Pod คืออะไร?

Kara Pod คือเครื่องชงกาแฟแบบพ็อด (Pod Coffee Maker) ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถดึงความชื้นจากอากาศภายนอก แล้วเปลี่ยนเป็นน้ำสะอาดเพื่อนำมาใช้ในการชงกาแฟ โดยไม่จำเป็นต้องเติมน้ำจากภายนอกเลย

เครื่องนี้ใช้เทคโนโลยี “Atmospheric Water Generator” (AWG) ซึ่งเป็นระบบที่เคยใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่นำมาย่อขนาดและปรับปรุงให้เหมาะกับการใช้งานในครัวเรือน


🔍 จุดเด่นของ Kara Pod

1. ไม่ต้องเติมน้ำ

เพียงเสียบปลั๊กและใส่พ็อดกาแฟ Kara ก็สามารถดึงไอน้ำในอากาศมาผลิตน้ำสะอาดสำหรับชงกาแฟได้ทันที

2. ประหยัดพื้นที่และสะดวก

ไม่มีถังน้ำขนาดใหญ่ ไม่ต้องต่อสายให้น้ำ ทำให้วางใช้งานได้ทุกที่

3. รักษ์โลก ประหยัดทรัพยากร

เหมาะกับการใช้ในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ และช่วยลดการใช้น้ำฟุ่มเฟือย

4. ดีไซน์ล้ำยุค

ตัวเครื่องมาในดีไซน์มินิมอล เรียบหรู เหมาะกับบ้านยุคใหม่และออฟฟิศทันสมัย


⚙️ เทคโนโลยีเบื้องหลัง Kara Pod

  • AWG (Atmospheric Water Generation): เทคโนโลยีที่สามารถสกัดน้ำจากอากาศผ่านการควบแน่น
  • ระบบกรองขั้นสูง: น้ำที่ได้จากอากาศจะผ่านระบบกรองหลายขั้นตอนก่อนนำไปใช้ชงกาแฟ
  • อุณหภูมิการกลั่นกาแฟแม่นยำ: รักษารสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟให้ใกล้เคียงร้านคาเฟ่มากที่สุด

👨‍🔬 เหมาะกับใคร?

  • คนที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ของเทคโนโลยี
  • คนที่อยู่ในพื้นที่น้ำประปาไม่สะอาด หรือไม่สะดวกเติมน้ำบ่อยๆ
  • สำนักงานขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด
  • กลุ่มผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ

💡 สรุป

Kara Pod คือคำตอบของยุคอนาคตที่เทคโนโลยีมาช่วยให้การดื่มกาแฟไม่ต้องพึ่งแม้แต่น้ำในก๊อก ด้วยการเปลี่ยนไอน้ำในอากาศให้กลายเป็นกาแฟแก้วโปรด Kara Pod ไม่ใช่แค่เครื่องชงกาแฟ แต่เป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมที่ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้น

หากคุณกำลังมองหาไลฟ์สไตล์ที่ชาญฉลาด ล้ำสมัย และยั่งยืน Kara Pod อาจเป็นอุปกรณ์ที่คุณควรมีไว้ในครัว

BYD Tang DM-i 2025: SUV ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ วิ่งไกลสุดถึง 1,150 กิโลเมตร

BYD ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่จากจีน ได้เปิดตัว Tang DM-i 2025 รุ่นล่าสุดอย่างเป็นทางการ โดยมาพร้อมกับระบบไฮบริด DM 5.0 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ยกระดับทั้งสมรรถนะและความประหยัดพลังงานอย่างชัดเจน จุดเด่นสำคัญของรถคันนี้คือ สามารถวิ่งได้ไกลถึง 1,150 กิโลเมตร ต่อการเติมน้ำมันและชาร์จเต็มครั้งเดียว ถือเป็นหนึ่งใน SUV ไฮบริดที่น่าจับตามองมากที่สุดในปี 2025


จุดเด่นของ BYD Tang DM-i 2025

🚗 ระบบขับเคลื่อน DM 5.0 ประสิทธิภาพสูง

  • มาพร้อมกับ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลัง
  • ใช้ แบตเตอรี่ Blade Battery แบบ LFP ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความทนทาน
  • รองรับโหมด EV วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 115 กม. (ตามมาตรฐาน CLTC)
  • เมื่อใช้งานร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ระยะทางรวมสามารถทำได้สูงสุด 1,150 กม.
  • ประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 4.95 ลิตร / 100 กม.

🛠 การออกแบบที่ล้ำสมัย พร้อมเทคโนโลยีภายในที่ครบครัน

  • ภายนอกปรับลุคให้สปอร์ตและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าและชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่
  • ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม พร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ที่สามารถหมุนได้อิสระ
  • รองรับการเชื่อมต่อเต็มรูปแบบ ทั้ง Apple CarPlay และระบบควบคุมด้วยเสียงอัจฉริยะ
  • เบาะโดยสาร 7 ที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัวหรือผู้ที่ต้องการรถใช้งานอเนกประสงค์

ขนาดตัวถังและความสะดวกสบาย

  • ความยาวตัวรถ: 4,870 มม.
  • ความกว้าง: 1,950 มม.
  • ความสูง: 1,725 มม.
  • ฐานล้อ: 2,820 มม.
  • มาพร้อมระบบช่วงล่างที่ปรับระดับได้ ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลในทุกสภาพถนน

💰 ราคาจำหน่ายและความคุ้มค่า

BYD Tang DM-i 2025 วางจำหน่ายในประเทศจีนในราคาเริ่มต้นประมาณ 179,800 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 890,000 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับฟีเจอร์และระยะทางการวิ่งที่ได้รับ


ทำไม BYD Tang DM-i 2025 ถึงน่าสนใจ?

  • ✅ วิ่งได้ไกลระดับพันกิโลต่อการชาร์จและเติมน้ำมัน
  • ✅ ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ✅ ดีไซน์พรีเมียม พร้อมเทคโนโลยีภายในระดับรถยุโรป
  • ✅ ราคาสมเหตุสมผล เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและครอบครัว

สรุป

BYD Tang DM-i 2025 ไม่เพียงแต่เป็นรถ SUV ไฮบริดที่มีระยะทางการขับขี่ที่น่าทึ่ง แต่ยังตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งด้านดีไซน์ เทคโนโลยี และความประหยัดพลังงาน หากคุณกำลังมองหารถ SUV พลังงานทางเลือกที่ครบเครื่องรุ่นหนึ่งในปีนี้ นี่คือชื่อที่ไม่ควรมองข้าม

5 เครื่องปรับอากาศที่ประหยัดไฟและเย็นเร็ว ปี 2025

อากาศร้อนแบบนี้ เครื่องปรับอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นในทุกบ้านและคอนโด แต่จะดีกว่าไหมถ้าเลือกได้ทั้ง แอร์เย็นเร็วและประหยัดไฟ ไปพร้อมกัน? บทความนี้จะพาคุณมารู้จัก 5 เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟที่เย็นเร็วที่สุดในปี 2025 เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาเครื่องปรับอากาศคุณภาพ พร้อมช่วยลดค่าไฟในระยะยาว


1. Daikin Inverter Smile Plus Series

  • ระบบ: Inverter ประหยัดไฟเบอร์ 5
  • ขนาด BTU: 9,000 – 24,000 BTU
  • จุดเด่น: เย็นเร็ว เงียบ และทนทาน เหมาะสำหรับห้องนอนและห้องนั่งเล่น
  • ฟีเจอร์: ระบบฟอกอากาศ, ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ
  • ราคา: เริ่มต้นประมาณ 16,000 บาท

2. Mitsubishi Electric Mr. Slim Inverter R32

  • ระบบ: Inverter ประหยัดพลังงานสูง
  • ขนาด BTU: 9,212 – 24,225 BTU
  • จุดเด่น: เย็นเร็วทันใจ เสียงเงียบ คุณภาพระดับญี่ปุ่น
  • ฟีเจอร์: Air Purifier, ระบบ Auto Restart
  • ราคา: เริ่มต้นประมาณ 17,000 บาท

3. Samsung AR5000 Wind-Free Inverter

  • ระบบ: Wind-Free™ Inverter เย็นเร็วแบบไม่ต้องเจอลมแรง
  • ขนาด BTU: 9,000 – 21,000 BTU
  • จุดเด่น: เย็นสบาย ไม่ทำให้ผิวแห้ง เสียงเบา
  • ฟีเจอร์: SmartThings ควบคุมผ่านมือถือ
  • ราคา: เริ่มต้นประมาณ 14,000 บาท

4. LG Dual Inverter Air Conditioner

  • ระบบ: Dual Inverter เย็นเร็วประหยัดไฟ 70%
  • ขนาด BTU: 9,000 – 18,000 BTU
  • จุดเด่น: เย็นเร็วเพียง 5 นาที, มีระบบกรองฝุ่น PM 1.0
  • ฟีเจอร์: ควบคุมด้วย Wi-Fi ผ่านแอป LG ThinQ
  • ราคา: เริ่มต้นประมาณ 15,000 บาท

5. Sharp J-Tech Inverter

  • ระบบ: J-Tech Inverter เย็นเร็ว ประหยัดไฟ
  • ขนาด BTU: 9,000 – 24,000 BTU
  • จุดเด่น: ระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ ฆ่าเชื้อโรคในอากาศ
  • ฟีเจอร์: Eco Mode, Baby Sleep Mode
  • ราคา: เริ่มต้นประมาณ 13,000 บาท

เคล็ดลับเลือกเครื่องปรับอากาศให้เย็นเร็วและประหยัดไฟ

  • ดูค่าประสิทธิภาพพลังงาน (SEER/EER): ยิ่งค่าสูง ยิ่งประหยัดไฟ
  • เลือก BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง: ขนาดห้องเล็ก ใช้ BTU ต่ำ ขนาดห้องใหญ่ ใช้ BTU สูง
  • ระบบ Inverter: เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานระยะยาว
  • ฟีเจอร์เสริม: เช่น ฟอกอากาศ, Wi-Fi ควบคุมผ่านมือถือ เพิ่มความสะดวกสบาย

การเลือก แอร์ประหยัดไฟและเย็นเร็ว ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสบายตัวในช่วงอากาศร้อน แต่ยังช่วยประหยัดค่าไฟในระยะยาว เลือกให้เหมาะกับห้องและไลฟ์สไตล์ของคุณ แล้วจะรู้ว่าเครื่องปรับอากาศดี ๆ เปลี่ยนชีวิตได้มากแค่ไหน

5 เครื่องกรองน้ำสำหรับคอนโด ที่ดีที่สุดในปี 2025

ในยุคที่สุขภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ การเลือก เครื่องกรองน้ำสำหรับคอนโด จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อยู่อาศัยในเมือง ไม่ว่าจะเป็นคอนโดขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เครื่องกรองน้ำที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะมาแนะนำ 5 รุ่นเครื่องกรองน้ำที่เหมาะกับคอนโด ทั้งขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ และใช้งานง่าย

1. Mazuma RO Pure Water Compact

  • จุดเด่น: ระบบกรองแบบ RO 5 ขั้นตอน ขจัดสารเคมี โลหะหนัก และแบคทีเรีย
  • ขนาด: กะทัดรัด เหมาะสำหรับเคาน์เตอร์ในคอนโด
  • ราคา: ประมาณ 4,500 – 6,000 บาท
  • เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการน้ำสะอาดสำหรับดื่มและทำอาหารโดยเฉพาะ

2. Coway P-300R (Neo Plus)

  • จุดเด่น: ดีไซน์ทันสมัย กรอง 5 ขั้นตอน มีระบบแจ้งเตือนเปลี่ยนไส้กรอง
  • ขนาด: พอเหมาะกับเคาน์เตอร์ครัวหรือวางบนโต๊ะ
  • ราคา: ประมาณ 7,000 – 8,500 บาท
  • เหมาะสำหรับ: คนที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการความสะดวกในการบำรุงรักษา

3. Stiebel Eltron Fountain 7S

  • จุดเด่น: ติดตั้งง่าย กรอง 7 ขั้นตอน ใช้ได้ทั้งน้ำดื่มและล้างผักผลไม้
  • ขนาด: กะทัดรัด ไม่ต้องเจาะผนัง
  • ราคา: ประมาณ 6,000 – 7,500 บาท
  • เหมาะสำหรับ: ผู้เช่าคอนโดที่ไม่สามารถติดตั้งแบบถาวร

4. iSpring Countertop Water Filter

  • จุดเด่น: แบบตั้งโต๊ะ ติดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า
  • ขนาด: เหมาะสำหรับวางบนโต๊ะครัวหรือซิงก์น้ำ
  • ราคา: ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท
  • เหมาะสำหรับ: คนที่มองหาเครื่องกรองน้ำแบบพกพาและใช้งานง่าย

5. Philips ADD6910 Reverse Osmosis

  • จุดเด่น: เทคโนโลยี RO ระดับพรีเมียม มีระบบ UV ฆ่าเชื้อในตัว
  • ขนาด: ขนาดเล็ก ดีไซน์สวย
  • ราคา: ประมาณ 10,000 – 13,000 บาท
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความมั่นใจสูงสุดในคุณภาพน้ำ

สรุป: เลือกเครื่องกรองน้ำสำหรับคอนโดอย่างไรให้เหมาะกับคุณ?

  • พื้นที่ติดตั้ง: หากคุณมีพื้นที่จำกัด ควรเลือกเครื่องกรองแบบตั้งโต๊ะหรือแบบเสียบหัวก็อก
  • ประเภทน้ำที่ใช้: หากน้ำจากประปาไม่สะอาด แนะนำให้ใช้ระบบกรองแบบ RO
  • งบประมาณ: เครื่องกรองน้ำมีหลายระดับราคา ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานและการดูแลรักษา

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในคอนโดแบบใด การมี เครื่องกรองน้ำสำหรับคอนโด ที่ดี คือการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว เลือกเครื่องที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ แล้วดื่มน้ำสะอาดได้อย่างมั่นใจในทุกวัน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Exit mobile version